ออกกำลังกายตอนท้องว่างมันดีอย่างไร

ออกกำลังกายตอนท้องว่างมันดีอย่างไร

หลายคนสงสัยว่าโกรทฮอร์โมนมันเกี่ยวอะไรกับการที่เราเผาผลาญไขมันจริงๆแล้ว  ออกกำลังกายตอนท้องว่าง   ก็ต้องบอกแบบนี้ว่าโกรทฮอร์โมนนั้นมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องของการเผาผลาญไขมัน

เพราะว่ามันเป็นฮอร์โมรในการเติบโตดังนั้นในขั้นตอนของการเจริญเติบโตมันจะต้องใช้พลังงานในรูปของไขมันในระดับที่สูงมาเช่นกันแต่นอกเหนือจากโกรทฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมายังไม่พอ เนื่องจากในภาวะที่เราท้องว่างมันได้มีฮอร์โมนอีกตัวนึงที่สูงขึ้นเช่นกันนั่นก็คือ กรูคากอน 

ซึ่ง กรูคากอน จะเป็นตัวฮอร์โมนที่ตรงข้ามกันกับอินซูลินเลยคือฮอร์โมนอินซูลินเป็นการที่เอาของใหม่ๆเข้ามาเก็บอย่างเช่นพวกโปรตีนกลูโคสพวกนี้ในขณะเดียวกันถ้าไม่มีอินซูลินอยู่ในกระแสเลือดกรูคากอนในการที่จจะนำพาพลังงานที่เรากักเก็บเอาไว้ในร่างกายในรูปแบบของไขมันส่วนเกินนำเอามาใช้ก็คือแปลว่าตอนที่เราท้องว่างร่างกายของเราจะใช้ไขมันส่วนเกินอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมการคาร์ดิโอในช่วงท้องว่างคือทำให้เราสามารถเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งๆขึ้นไปอีกแต่ตอนนี้หลายๆคนอาจจะสงสัยแล้วว่า ถ้าคาร์ดิโอตอนท้องว่างผมไปศึกษามาแล้วถ้าคุณคาร์ดิโอในอตนเช้าคุณจะเสียกล้าเนื้อร่างกายจะทิ้งโปรตีนออกไปจะเผาโปรตีนไปด้วยทำให้เราเสียกล้ามเนื้อ

โดยในช่วงที่เราท้องว่างนอกเหนือจากตัวโกรทฮอร์โมนแล้วก็กรูคากอนที่มันทำงานแล้วใช่ไหมร่างกายท้องว่างแล้ว  กริลแอร์    เราไปคาร์ดิโอมันจะมีพลังงานตัวนึงที่จะออกมาในรูปของ BHB หรือ คีโตนบอดี้ ซึ่งคีโตนบอดี้นั้นมาจากไหนมันก็มาจากไขมันส่วนเกินของเรานั่นเอง

ซึ่งตัว BHBตรงนี้มันจะเป็นตัวช่วยปกป้องไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดภาวะLeucine oxidation ภาวะที่เราสูญเสียกล้ามเนื้อลูซีนคือกรดอะมิโนตัวนึงที่อยู่ในกล้ามเนื้อของเราถ้ามันเกิดภาวะสันดาบแปลว่าคุณเริ่มสูญเสียกล้ามเนื้อนั่นเหมือนกับว่าร่างกายอยู่ในภาวะที่แบบอดอาหารมาเป็นเวลายาวนานหรือว่าคุณออกกำลังกายนานเกินไป

เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นในภาวะที่คุณออกกำลังกายหนักด้วยและก็ทานอาหารน้อยมากๆร่างกายจะเกิด Leucine oxidationก็คือร่างกายมันจะเริ่มทิ้งโปรตีนออกไปแล้วก็อาโปรตีนพวกนี้ไปแปลเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป

ดังนั้นการที่ตัว BHB ตรงนี้มันจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณยังคงถูกตึงไว้และไม่สูญเสียกล้ามเนื้อไปง่ายๆแล้วก็อีกประเด็นนึงก็คือนอกเหนือจากตัวBHBมันยังมีฮอร์โมนอีกตัวนึงมันชื่อกลุ่มCatecholamineและยังมีอยู่ในกลุ่มหลักอีกก็จะมีสองตัวด้วยกันคือ Epinephrine Norepinephrine แต่ถ้าเอาเป็นที่คนทั่วไปรู้จัก Adrinaline Noradrinalie นั่นเอง

เทคนิดลดหน้าท้องล่างให้ได้ผล

เวลาเราลดไขมันทานน้อยลงออกกำลังกายมากขึ้นร่ากายก็จะถูกใช้ไขมันออกไปแต่ท้องส่วนล่างร่างกายใช้ไปในสัดส่วนที่น้อยที่สุดเลยอาจจะ5-10%ร่างกายใช้ไขมัน  เทคนิดลดหน้าท้องล่าง ส่วนใหญ่ตามแขนตามขาตามส่วนอื่นๆก่อน เมื่อไขมันตามแขน ขา ชัดขึ้นแล้วร่างกายจึงใช้ไขมันตามท้องส่วนล่างและก็บริเวณพุงห่วงยางในสัดส่วนที่สูงขึ้น

ดังนั้นหมายความว่าเราต้องใช้เวลาลดที่นานหน่อยแต่ถ้าเป็นคนปกติเลยไขมันผู้ชาย20-30%เราต้องลด10อาทิตย์ขึ้นไปแน่นอนนั่นหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยจากการทานน้อยๆนานๆและระบบเผาผลาญตกลงฮอร์โมนเพศชายตกลงทำให้เราอาจจะสูญเสียกล้ามเนื้อแรงตก

ข้อหนึ่งถ้าเราต้องการที่จะลดหน้าท้องส่วนล่างปรับการเผาผลาญ1ครั้งและ1ครั้งนั้นจะต้องนานกว่าปกติจากที่เราเคยสอนเมื่อเราลดลงมาเจอทางต้นปรับเผาผลาญทานเยอะขึ้น2-3สัปดาห์ถูกไหมแต่อย่าลืมเมื่อไขมันในร่างกายน้อยมากๆแล้วสมมติคุณผู้ชายลดลงมา

จนเหลือ15%ไขมันมันน้อยแล้วนะเราต้องการลดอีกความยากมันจะเพิ่มขึ้นให้เราอยู่ในช่วงเมนเทรนตรงนี้นานกว่าปกติอาจจะเป็น4-5สัปดาห์เพื่อให้ความล้าของเราอยู่ในร่างกายต่ำที่สุดเตรียมร่างกายของเราให้พร้อมที่สุดฮอร์โมนสมดุลสมบูรณ์มากที่สุดหลังจากนั้นเราลดอีกรอบหนึ่งซึ่งเราจะถึงเปอร์เซ็นต์เป้าไว้แน่นอนสำหรับคุณผู้หญิงก็จะอยู่ที่ประมาณ15-25%ของไขมันในร่างกายท้องส่วนล่างมันจึงจะหายไป

ข้อสอง ถ้าเราอยากลดหน้าท้องส่วนล่างเราต้องหลีกเลี่ยงกลุ่มน้ำตาล ซึ่งจริงๆแล้วเวลาที่เราทานคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งประเภทข้าวเข้าไปในร่างกายของเราสุดท้ายแล้วมันก็ย่อยได้น้ำตาลรวมทั้งการทานพวกมันเทศ ทานผลไม้ สุดท้ายแล้วย่อยมามันก็คือน้ำตาล

ถ้าเราบอกว่าไม่ทานน้ำตาลเลยมันก็คงไม่ถูกต้องที่เราต้องหลีกเลี่ยงน้ำตาลมันคือน้ำตาลอุตสาหกรรมนั่นเองมันคือน้ำตาลซูโครสที่ประกอบไปด้วย ฟรักโตส บวกกับกลูโคส มีงานวิจัยชัดเจนว่าน้ำตาลฟรักโตสที่มากเกินไปทำให้อินซูลิน รีซิสแตนท์ หมายความว่าปกติแล้วเวลาเราทานอาหารเข้าไป

อินซุลินจะทำหน้าที่ดึงสารอาหารเข้าไปที่เซลล์กล้ามเนื้อเพื่อไปใช้เป็นพลังงานแต่ถ้าเกิดอินซุลิน รีซิสแตนท์ มันจะกักเก็บเข้าไปที่เซลล์ไขมันแล้วที่แรกให้คุณเดาว่ามันจไปเก็บที่ไหนมันเก็บที่หน้าท้องส่วนล่างหรือที่พุงนั่นเองแน่นอน

เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราหลีกเลี่ยงพวกอาหารประเภทนี้ทำให้อินซูลินเราทำงานได้ดีคน2คนทานพลังงานเท่ากันแต่อีกคนหนึ่งที่ทานพลังงานจากน้ำตาลเยอะกว่าคนนี้จะเก็บไขมันที่หน้าท้องส่วนล่างเยอะกว่าแน่นอนทีนี้ถ้าเกิดว่าเพื่อนๆต้องการจะทานแนะนำว่าตอนไดเอทตอนลดไขมันหลีกเลี่ยงได้ก็ดีหรือถ้าต้องทานทานในวันที่เยอะขึ้นตามที่เคยสอนไว้ได้ประมาณ25-50กรัมก็เพียงพอ

 

สนับสนุนโดย.    aesexy

ห้ามทานวิตามินซีถ้ายังไม่รู้สิ่งนี้

สำหรับวิตามมินซีหรือเขาเรียกว่าAscorbic Acid มันก็มีความเป็นกรดชนิดหนึ่งมันชื่อว่า Ascorbic Acidเป็นสารอาหารที่มีความปลอดภัยสูงมากๆเลยโดยปกติตัวของมันแล้วแทบจะไม่มีโทษอะไรเลยอันดับแรกก็สบายใจในเบื้องต้นว่ามันไม่น่าจะเกิดโทษรุนแรงจนถึงตายได้นะสำหรับวิตามินซี

นอกจากนี้ยังไม่พอมันยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ

ทำให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตสมวัยมีสุขภาพร่างกายดีมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นบรรเทาอาการหวัดประโยชน์เยอะแยะเลยแต่ว่า ข้อแรกสำหรับท่านที่ทานวิตามมินซีจะต้องรู้ว่าถ้าทานวิตามินซีที่มากเกินไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น 

เมื่อไหร่ที่ท่านทานวิตามินซีที่มากเกินร่างกายต้องการแล้วจะมีผลเสียหลายอย่างเกิดขึ้นแม้ไม่รุนแรงถึงชีวิตแต่ก็น่ารำคาญมากสำหรับข้อแรกวิตามินซีที่ท่านทานมากไปนั้นจะทำให้กระเพาะของท่านเกิดการระคายเคืองวิตามินซีเมื่อเราทานเข้าไปมันจะดูดซึมไม่ได้ทั้งหมด

ถ้าท่านทานวิตามินซีที่มีปริมาณมิลลิกรัมเยอะเช่น1,000มิลลิกรัมอาจจะดูดซึมได้แค่50%แล้วมี50%ตกค้างอยู่ถ้า2,000มิลลิกรัมทานไปครั้งเดียวดูดซึมอาจจะได้แค่แบบ30%เท่านั้นจะเหลือตกค้างอยู่

ซึ่งส่วนที่ตกค้างจะทำให้เราแบบแสบกระเพาะบ้างท้องอืดท้องเฟ้อเป็นตะคริวที่ท้องบ้างไม่สบายบ้างเยอะแยะไปหมดเลยนี่ก็คือข้อเสียเมื่อท่านทานมากเกินไปยังไม่พออันตัววิตามินยังทำให้ท่านดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไปแล้วยังไงล่ะเมื่อท่านดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป

สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นก็คือร่างกายเรามีธาตุเหล็กมากเกินไปและเมื่อในร่างกายมีธาตุเหล็กมากเกินไปเหล็กก็จะไปสะสมตามส่วนร่างกายต่างๆก็อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนเวียนหัววิงเวียนไม่พอผิวเนื้อผิวตัวอาจจะมีสีดำเข้มก็มีโรคต่างๆตามมาหลายโรค

เพราะฉะนั้นก็ต้องระมัดระวังให้ดีและยังไม่พอส่วนที่ไม่โดนดูดซึมตัววิตามินซีระลายในน้ำเพราะฉะนั้นเวลามันขับออกนอกร่างกายมันขับทางปัสสาวะของเราวิตามินซีที่มันได้เหลือในส่วนเกินมันก็จะขับออกในทางเดินปัสสาวะวของเราและเมื่อส่วนเกินนี้มันได้ถูกขับออกทางด้านปัสสาวะของเราแล้วก็แปลว่ามันอาจจะเกิดตะกอนเกิดขึ้น

เมื่อมันได้มีตะกอนอยู่เยอะๆมันก็จะกลายเป็นนิ่วมันอาจจะเกิดเป็นนิ่วในตับของเราตามมาได้ถ้าหากท่านทานวิตามินซีที่ยาวนานแล้วก็รับประทานในจำนวนที่มากจนเกินไปอันนี้ถือได้ว่ามีความอันตรายอย่างมากและนี่ก็เป้ฯข้อมูลที่ท่านควรจะต้องรู้ก่อนที่ท่านนั้นจะรับประทานวิตามินซีจะมีอะไรเกิดขึ้นหากทานวิตามินซีมากเกินไป

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  หวยออนไลน์บาทละ 1000

การดูแลตนเองก่อนวัยทอง วัยทอง และหลังวัยทอง

ในวัยทองนั้นมักจะมีอาการต่าง ๆ การดูแลตนเองก่อนวัยทอง  เกิดขึ้นมาให้รู้สึกรำคาญใจเสมอ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ฮอร์โมนเพศต่าง ๆ ที่เคยมีและจำเป็นกลับลดลง และหายไป สังเกตดได้ในเพศหญิงที่อายุมาก คือ ประจำเดือนหมดแล้ว หายไปแล้วเมื่อหายไปครบ 1 ปี ก็จะเรียกช่วงอายุหลังจากนี้ว่า วัยทอง 

อาการที่พบในวัยทอง เช่น ร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า และอื่น ๆ ซึ่งทำให้ผู้หญิงวัยทองควรจะดูแลตนเองเช่นไรบ้าง จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย

ข้อเสนอแนะการรักษาสุขภาพตอนก่อนวัยทอง ในตอนวัยทอง และก็หลังวัยทอง

– ตอนก่อนวัยทอง หรือประมาณอายุไม่เกิน 40 ปี

การดูแลตนเองก่อนวัยทอง  ในตอนนี้ควรจะหันมาเริ่มตั้งใจดูแลสุขภาพ โดยการเลือกทานอาหารให้ครบประเภท เลี่ยงรสจัด พักให้ตรงเวลาอย่างพอเพียง สามารถหาสมุนไพรที่ได้จากธรรมชาติมาบำรุงด้วยการกิน เพื่อปรับสมดุล หรือชะลอการเปลี่ยนฮอร์โมนภายในร่างกาย รวมทั้งช่วยลดอาการวัยทองให้น้อยลงได้ หากว่าไปสู่ภาวการณ์วัยทองในอนาคต

 

– ตอนวัยทอง อายุระหว่าง 40 – 55 ปี

ขณะนี้เป็นตอนที่มีการเปลี่ยนของฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนในผู้หญิง ซึ่งจะมีน้อยลงเมื่อแก่ขึ้น ทำให้มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ ร้อนวูบวาบ เมื่อยตามร่างกาย อารมณ์ปรวนแปร รำคาญง่าย นอนยาก ฯลฯ บางรายมีลักษณะสูงถึงขั้นจำต้องไปพบหมอ เพื่้อกระทำการรักษาโดยใช้การกินยาฮอร์โมนตอบแทน ซึ่งช่วยได้ในระดับที่ดี แต่ว่าอย่าลืมว่า ถ้าหากทานเป็นระยะเวลาที่ยาวนานต่อเนื่องกัน จะมีผลให้เป็นผลใกล้กันดังที่กล่าวมาจากจุดบกพร่องของยาฮอร์โมนชดชเย

สมุนไพรที่ได้มาจากธรรมชาติก็เลยเป็นอีกช่องทางหนึ่งสำหรับคนวัยทอง ด้วยเหตุว่าไม่มีการตกค้างของสาร หรือการสั่งสมต่าง ๆ ตามร่างกาย ที่สามารถทานสมุนไพรได้ตั้งแต่เนิ่น ๆเนื่องจากว่าจะใช้เวลาสำหรับในการได้ผลลัพธ์ โดยจะเน้นย้ำเป็นสมุนไพรอย่าง ตังกุย เนื่องจากว่าคุณประโยชน์ของตังกุยมเกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจน รวมทั้งเพิ่มระบบไหลเวียนเลือด

 

– หลังวัยทอง

ในวัยนี้จะเริ่มไปสู่วัยสูงอายุ และก็เป็นตอน ๆ หยุดการตกไข่นั่นเอง การรักษาสุขภาพร่างกายในวัยนี้ ไม่สมควรเน้นย้ำกินยาชดเชยฮอร์โมน เพราะว่าตับแล้วก็ไตจะทำงานมาก บางทีอาจส่งผลเสียถึงสุขภาพได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวการดูแลตนเองด้วยแนวทางธรรมชาติ ก็เลยเป็นโอกาสที่เยี่ยมที่สุด ทั้งยังของกิน การบริหารร่างกาย การออกไปท่องเที่ยว หรือถ้าหากต้องการหาอะไรมาบำรุงร่างกาย ให้เน้นย้ำสมุนไพรที่ได้จากธรรมชาติ เนื่องจากจะไม่ทิ้งสารตกค้างภายในร่างกาย นับได้ว่าเป็นช่องทางสำหรับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายที่คู่ควรสูงที่สุดสำหรับคนวัยนี้

 

 

สนับสนุนโดย.    lovebet999

ท้องผูกบ่อย ๆ เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

ท้องผูกบ่อย ๆ  เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากระบบขับถ่ายของเราทำงานไม่เป็นปกติ หรือเกิดขึ้นจากการขับถ่ายน้อยเกินไป หรือในบางครั้งก็อาจอั้นอุจจาระนานเกินไปจนส่งผลให้เกิดท้องผูก สมัยนี้อาการท้องผูกพบได้บ่อยไม่แพ้อาการอื่น เนื่องคนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปด้วย คนเราหากต้องการมีสุขภาพร่างกายที่ดี การขับถ่ายก็ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะการขับถ่ายเป็นประจำ

หรือการขับถ่ายให้เป็นเวลาจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งก็อาจส่งผลให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีเช่นกัน แต่เชื่อเถอะว่าสมัยปัจจุบันนี้คนเรานั้นก็มีพฤติกรรมการขับถ่ายค่อนข้างที่จะแตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างนั้นการที่เราขับถ่ายออกมาเป็นประจำก็จะช่วยลดอาการท้องผูกของเราได้

แต่เมื่อไหร่ที่เราไม่ขับถ่าย ขับถ่ายน้อย หรืออาจขับถ่ายน้อยกว่า 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็อาจส่งผลให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดท้องผูก หรือมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายตามมาได้ อย่างไรก็ตาม อาการท้องผูกนับเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม ยังไงก็ลองสังเกตอาการตัวเองเบื้องต้นดูว่ามีความผิดปกติในรูปแบบไหนบ้าง เพราะอาการท้องผูกมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายได้เช่นกัน และวันนี้เราจะมียกตัวอย่างโรคร้ายที่อาจมาพร้อมกับอาการท้องผูก จะมีโรคไหนกันบ้างไปดูกันเลย 

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แน่นอนว่าเป็นโรคที่อาจเกิดขึ้นจากอาการ ท้องผูกบ่อย ๆ ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรามีอาการท้องผูกเรื้อรังขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายมีโอกาสสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างมาก ดังนั้น ทางที่ดีควรหมั่นตรวจสุขภาพร่างกาย เพราะอาการท้องผูกไม่เพียงเป็นแค่อาการธรรมดาที่เกี่ยวกับระบบการขับถ่ายของเราเท่านั้น หากปล่อยไว้ หรือปล่อยให้หายเอง อาการอาจถึงขั้นเรื้อรัง และเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 

โรคลำไส้อุดตัน หากมีอาการท้องผูกอยู่บ่อย ๆ แนะนำให้ตรวจเช็คร่างกาย เพราะคุณมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคลำไส้อุดตัน เพราะหากร่างกายของเราไม่ได้ขับถ่ายออกมา ก็จะส่งผลให้ร่างกายของเรารู้สึกอึดอัด จุดเสียด แน่นท้องมากขึ้น เพราะเกิดจากการที่เราถ่ายไม่ออก หรืออั้นอุจจาระนานเกินไป โรคลำไส้อุดตันเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก มีโอกาสที่จะส่งผลให้เราได้เข้ารับการผ่าตัดได้ ดังนั้น หากไม่อยากท้องผูก แนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

โรคริดสีดวง  โรคนี้จะเกิดขึ้นจากการที่เบาะรองเกิดการเคลื่อนตัวห้อยตัวลงมาต่ำกว่าปกติ หรือโป่งพองอยู่ถึงแม้จะขับถ่ายเสร็จแล้วก็ตาม หรือในบางครั้งในระหว่างการขับถ่ายอาจมีเลือดปนออกมาบ้าง หากอาการนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็สามารถสร้างความรำคาญใจให้กับใครหลายคนจนต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ได้ ดังนั้น โรคริดสีดวงทวารจึงเป็นอีกหนึ่งโรคที่อาจเกิดขึ้นจากอาการท้องผูกได้ 

 

สนับสนุนโดย.  aecasino

ยิ่งอายุมากขึ้น คอลลาเจนในร่างกายยิ่งหดหาย

ยิ่งอายุมากขึ้น คอลลาเจน เปลี่ยนเป็นคำที่คนไม่ใช่น้อยรู้จักในรูปแบบของอาหารเสริม อีกทั้งมีความเชื่อหลายแบบเกี่ยวกับคอลลาเจนที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่าคำโฆษณาชวนเชื่อของสินค้าความสวยสดงดงามที่วางขายอยู่ในตลาด ได้แก่ คอลลาเจน สามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้ ก็เลยนับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจ

คอลลาเจน เป็นอย่างไร?

คอลลาเจน เป็นเส้นใยโปรตีนประเภทหนึ่ง เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง ขน แล้วก็เส้นผม ช่วยทำให้ปรับผิวหนังได้ในบางเรื่อง เช่น ในเรื่องความเต่งตึง ช่วยเรื่องความยืดหยุ่น และเรียบเนียน รวมถึงผิวกระชับ ทั้งยังยังเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของกระดูกอ่อน ก็เลยมีการนำคอลลาเจนไปใช้ในคนที่มาลักษณะเจ็บในโรคข้อหัวเข่าเสื่อม ผู้ที่มีภาวการณ์กระดูกบางหรือกระดูกเปราะ

ที่จริงแล้ว ยิ่งอายุมากขึ้น คอลลาเจน เป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นเองได้แล้วก็ได้รับจากของกินหลากหลายชนิด แต่ว่าในผู้ที่แก่มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยยิ่งไปกว่านั้น คือ ผู้ที่แก่มากยิ่งกว่า 30 ปี ขึ้นไป พบว่าการสังเคราะห์คอลลาเจนจะต่ำลง หรือในคนที่ มีต้นเหตุ บางสิ่งบางอย่างทำให้คอลลาเจนสลายตัวหรือถูกทำลายได้ง่าย อย่างเช่น คนที่พักไม่พอ คนที่มีความเคร่งเครียด คนที่ดูดบุหรี่ ฯลฯ ซึ่งอาจนำมาสู่การได้รับคอลลาเจนที่น้อยเกินไปกับความจำเป็นของร่างกาย สาเหตุพวกนี้จะก่อให้ผิวหนังหย่อนยานคล้อย เหี่ยวย่น ไม่เรียบเนียนแล้วก็กำเนิดริ้วรอยได้

 

ต้นเหตุที่ทำให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนไม่พอ

– คนสูงอายุ (ด้วยวัยขนาดนี้แล้ว ร่างกายก็จะมีระบบสำหรับการสร้างคอลลาเจนได้น้อยกว่าวัยอื่น)

– รังสี UV จากแดด

– ความเคร่งเครียด

– นอนน้อย

– ดูดบุหรี่

– ทานอาหารไม่ครบ 5 ประเภท

 

ผลพวงจากการที่คอลลาเจนไม่เพียงพอจะส่งผลอย่างไรบ้าง?

– ก่อให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง

– ผิวเหี่ยวย่น 

– กระดูกอ่อนสลายตัว

– โรคข้อเสื่อม

 

ทำอย่างไรให้คอลลาเจนอยู่กับเรานาน ๆ

– เลี่ยงแสงอาทิตย์

– หลีกเลี่ยงความตึงเครียดหรือเครียดให้ลดน้อยลง

– นอนให้มากขึ้น โดยนอนอย่างมีคุณภาพ

– ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือรับประทานให้ครบ 5 ประเภท

– กินน้ำมากขึ้น อย่างต่ำ คือ วันละ 8-10 แก้ว

นอกจากคอลลาเจนที่ผู้สูงอายุหรือวัยเกษียณจะต้องดูแลให้ดีแล้ว เรื่องสุขภาพอื่น ๆ ก็สำคัญเช่นกัน ไม่ว่าจะโรคประจำตัว โรคที่เกิดมากในคนวัยนี้ โรคซึมเศร้า ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เราอาจจะไม่สามารถรักษาหรือดูแลได้ด้วยตัวเองทั้งหมด การตรวจสุขภาพประจำปีก็เลยเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะทำ และในผู้ที่มีโรคประจำตัวก็ควรไปตามนัดแพทย์ทุกครั้ง เพื่อให้สามารถรักษาได้ต่อเนื่องและตรงจุด เพื่อรักษาสุขภาพดี ๆ ให้อยู่กับคุณเองไปนาน ๆ

 

สนับสนุนโดย.    แทงหวยจับยี่กี

ความเชื่อผิด ๆ ที่ทำให้ไม่ผอมสักที

การลดน้ำหนักให้ถูกวิธี และให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องของการลดน้ำหนัก ซึ่งความเชื่อผิด ๆ เหล่านี้อาจจะทำให้การลดน้ำหนักของเราไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ก็ได้ เพราสมัยนี้เชื่อว่าการลดน้ำหนักที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

จะทำให้การลดน้ำหนักของเรามีประสิทธิภาพได้มากขึ้น และเห็นผลได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสมัยนี้ก็ยังมีคนเชื่อเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ในการลดน้ำหนัก และวันนี้เราจึงได้หยิบตัวอย่างความเชื่อผิด ๆ ที่ทำให้ใครหลายคนไม่ผอมกันสักที หากรู้กันแล้วลองเอาไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง เพื่อจะได้ลดน้ำหนักได้อย่างถูกวิธี และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น จะมีความเชื่อไหนกันบ้างไปดูเลย 

การกินอาหารมังสวิรัติ ความเชื่อในเรื่องของการกินอาหารมังสวิรัติ สามารถช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลดน้ำหนักไม่มีความเกี่ยวกับการเลือกกินอาหารมังสวิรัติ ดังนั้น หลักในการลดน้ำหนักก็คือ การจัดสัดส่วนของอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ และมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเพียงพอ การกินอาหารมังสวิรัตินั้นมีมากมายหลายชนิด ซึ่งก็อาหารบางประเภทก็อาจมีไขมันสูง และเมื่อเรารับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็อาจส่งผลให้การลดน้ำหนักของเรานั้นไม่เป็นผล

การรับประทาอาหารเสริม หลายคนเชื่อการรับประทานอาหารเสริมสามารถช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น อาหารเสริมเป็นเพียงตัวช่วยในเรื่องของการเผาพลาญไขมันในร่างกายให้ดีขึ้นแค่นั้นเอง ไม่ใช่ว่าแค่กินอาหารเสริมเป็นประจำก็สามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่หลักการที่สำคัญของการลดน้ำหนักให้ถูกวิธีก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการควบคุมอาหารระหว่างทานให้เหมาะสม

กินผลไม้แทนอาหาร เชื่อว่าสมัยนี้ หลายคนก็ยังคงใช้หลักการลดน้ำหนักแบบเดิม ๆ คือการเลือกรับประทานผลไม้แทนอาหารมื้อต่าง ๆ เพราะอาจจะเชื่อว่าผลไม้มีประโยชน์สามารถลดความอยากอาหาร และเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี แต่หารู้หรือไม่ว่า ในผลไม้นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังมีน้ำตาลที่สูงมาก ๆ และเมื่อเรารับประทานเข้าไปเป็นประจำโดยไม่รับประทานอาหาร อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป จนอาจไปสะสมในร่างกายและเกิดเป็นไขมันขึ้นได้ ดังนั้น หลักการลดน้ำหนักที่ดี คือการรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ อย่างเหมาะสม ร่วมกับการออกกำลังกายด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    แจกสูตรหวยยี่กี

พฤติกรรมเสี่ยงโรคซึมเศร้า

สมัยนี้ โรคซึมเศร้าถือเป็นโรคหนึ่งที่มีความน่ากลัวเป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากในแต่ละวันคนส่วนใหญ่จะโฟกัสอยู่กับการทำงาน จึงทำให้มีเรื่องที่ต้องคิดมากอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็นความเครียดขึ้นนั่นเอง รู้หรือไม่ว่า การเป็นโรคซึมเศร้าไม่เพียงแต่มีเรื่องให้ปวดหัวไปในแต่ละวันเท่านั้น

ซึ่งการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าก็มีหลากหลายปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดขึ้นได้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ในสมัยนี้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการที่เราจะป่วยเป็นโรคนี้ได้นั้นก็อาจเป็นไปได้ยาก หากเรารู้จักวิธีการป้องกันตนเองในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อาจมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และวันนี้เราก็จะมายกตัวอย่างปัจจัยที่อาจทำให้เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จะมีปัจจัยไหน พฤติกรรมไหนบ้างทไปดูกันเลย

  • รู้สึกหดหู่ การป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอนว่าจะต้องเป็นโรคที่เกี่ยวกับความรู้สึก และความคิดของเราโดยตรง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้นอาจจะสังเกตได้ง่าย ๆ เลย คือ มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย หดหู่ หงอย เศร้า และดูท้อแท้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่กี่เปอร์เซ็นที่จะสามารถสังเกตอาการตนเองได้โดยตรง ส่วนใหญ่แล้วจะถูกสังเกตได้จากคนรอบข้าง
  • รู้สึกเบื่อ พฤติกรรมส่วนใหญ่ที่เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคซึมเศร้านั้น ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไรเลย และไม่ว่าจะออกไปทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ก็จะเกิดความสนุกหรือเพลิดเพลินไปกับมันเลย และที่สำคัญเลยก็คือ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะไม่เพียงแต่เบื่อหน่ายกับสิ่งต่าง ๆ ยังรวมไปถึง การเบื่ออาหาร หรืออาจจะกินมากเกินไปก็ได้ 
  • สมองช้า แน่นอนว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีพฤติกรรมการคิดที่ค่อนข้างช้ากว่าคนปกติ รู้สึกกระวนกระวายได้ง่าย หรือบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย 
  • รู้สึกอ่อนเพลีย โรคซึมเศร้าจะค่อนข้างเป็นโรคที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกได้ง่าย ผู้ที่เสี่ยงต่อการป่วยนั้น ก็อาจจะมีพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้สังเกตได้ง่าย ๆ คือ ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียง่าย หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือบางคนอาจมีพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการนอน หลับมากเกินไปจนผิดปกติ
  • จิตตก แน่นอนว่าใครที่มีพฤติกรรมเหล่านี้คุณกำลังตกเป็นเหยื่อของโรคซึมเศร้าอย่างแน่นอน เพราะอาการที่แสดงให้เห็นได้ชัดเลยก็คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าชีวิตตนเองนั้นไร้ค่า ไม่สมาธิ ทำร้ายร่างกายตนเอง หรือที่ร้ายแรงมากที่สุดก็คงจะเป็นการคิดที่จะฆ่าตัวตายนั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม ลองสังเกตอาการตนเองดูบ้างว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงไหนบ้าง ที่อาจทำให้เรานั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ เพราะโรคนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้

 

 

สนับสนุนโดย  หวยออนไลน์บาทละ 950

โรคภูมิแพ้ เกิดขึ้นได้อย่างไร

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคสามารถพบเจออกันได้บ่อยในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน เพราะในสังคมสมัยนี้เต็มไปด้วยฝุ่น ควันสารพิษ หรือมลภาวะต่าง ๆ มากมาย จึงทำให้ใครหลายคนเกิดเป็นโรคภูมิแพ้กันได้ง่าย ๆ โดยอาการของโรคนี้จะสามารถสังเกตกันได้ง่ายเลยคือ เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คัดจมูก น้ำตาไหล หรืออาจเกิดการระคายเคืองขึ้นในบางครั้ง และบางคนอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรงถึงขั้นท้องร่วง หายใจไม่ออกเลยก็มี

โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่พบได้บ่อย และเป็นโรคยอดฮิตที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการแพ้ต่อสารที่แตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่สารที่ผู้ป่วยมักแพ้ จะเป็นสารที่ไม่ทำปฏิกิริยา หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา แต่จะเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการเจ็บ แสบ คัน แทน

อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้นั้น ล้วนแต่มีความเสี่ยงในการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยส่วนใหญ่แล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้มาว่า ทำไมเราถึงเป็นโรคภูมิแพ้ได้ โรคภูมิแพ้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่เราก็ดูแลรักษาสุขภาพเป็นอย่างดีอยู่ตลอด วันนี้เรามีคำตอบค่ะ 

เกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์ จากการสำรวจจะเห็นได้ว่า หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ มีโอกาสสูงมากที่ลูกออกมาแล้วจะเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30-50 แต่ถ้าหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้กันทั้งสองคน จึงมีโอกาสสูงมากที่ลูกจะเป็นโรคภูมิแพ้ เพราะเด็กที่เกิดมาส่วนใหญ่แล้ว ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะยังไม่แข็งแข็งจึงสามารถเกิดโรคได้ง่ายหากพ่อหรือแม่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ดังนั้น หากไม่อยากให้ลูกป่วยตั้งแต่เด็กก็ควรวางแผนการตั้งครรภ์ก่อนเพื่อความปลอดภัยต่อเด็ก

สภาพแวดล้อม เรียกได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญตอการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มักจะอยู่ตามสภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทั่วไป เพราะปกติโรคภูมิแพ้จะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ สภาพแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่จะสามารถเป็นได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น ทางการหายใจ

การรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ก็สามารถเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน เพราะสังคมเรานั้นเต็มไปด้วย ฝุ่น ควัน สารพิษ มลภาวะ ขนสัตว์ หรือสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม โรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้ตามสภาพแวดล้อมตามที่เราใช้ชีวิตอยู่ก็ได้ ดังนั้น หากผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่รู้จักวิธีป้องกันตนเองไม่ให้โรคส่งผลเสียไปมากกว่านี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากใครที่ยังไม่รู้ก็ลองศึกษาหาวิธีเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้โรคภูมิแพ้เป็นหนักกว่าเดิม

 

สนับสนุนโดย    หวยออนไลน์บาทละ 1000

ความรู้เกี่ยวกับไข่แดง

วันนี้เราจะมาพูดถึงข้อดีของการกินไข่ที่เราจะพูดถึงในเรื่องของไข่แดง

ข้อที่หนึ่ง ไข่ ถือว่ามีสารอาหารจำนวนมาก เราจะต้องยอมรับความจริงว่าถ้าเปรียบเทียบไปแล้วในไข่แดงกับไข่ขาว ไข่ขาวมีโปรตีน ไข่แดงมีโปรตีนน้อยกว่าไข่ขาวแต่ว่าวิตามินส่วนใหญ่จะอยู่ในไข่แดง ฉะนั้นไข่แดงจะเป็นเหล่าของวิตามินต่างๆแร่ธาตุต่างๆเช่นวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินบี2 บี5บี12

ในขณะที่เป็นแหล่งของวิตามินที่ละลายในไขมันก็คือวิตามิน เอ ดี เค เลย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในไข่แดงไม่ได้อยู่ในไข่ขาว

ข้อที่สอง งานวิจัยที่เราได้ทำเองในปี2008-2007-2009หลังจากนั้นก็จะมีงานวิจัยต่อเนื่องทั้งฝั่งอเมริกาฝั่งยุโรปที่จะพยายามที่จะศึกษาในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้รวมแล้วเป็นงานวิจัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประมาณ50งานวิจัยก็พบแล้วว่าคอเลสเตอรอลในไข่ส่งผลต่อคอลเลสเตอรอลในเลือดที่น้อยเพียงงแต่ให้เราโฟกัสไปในเรื่องของรูปแบบการทำมากกว่า

สมมุติถ้าเกิดว่าคุณไปอยู่ทางฝั่งอเมริกาคุณกินเป็นไข่ขาวใช่ไหมกินกับเบคอนอันนี้ส่งผต่อสุขภาพแน่นอนเพราะว่ามันมีทั้งเกลือทั้งน้ำมันที่ไหม้แล้วก็เก่าด้วยแต่ถ้าพูดถึงเฉพาะไข่ต้มในบ้านเราหรือว่าไข่ต้มกินกับผักลวกจิ้มหรือกับปลาพวกนี้อันนี้เป็นสิ่งที่ดี

ดังนั้นงานวิจัยในช่วงหลังรวมทั้งของเราเองแสดงให้เห็นแล้วว่าคอเลสเตอรอลไข่แดงส่งผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่น้อยมากในขณะเดียวกันคอเลสเตอรอลบางทีมันมาจากผลไม้มาจากน้ำผึ้ง

ข้อที่สาม คอลเสเตอรอล จากงานวิจัยของเราเอง พบว่าจะเพิ่มระดับไขมันดี HDLได้ในบางกรณีมันเพิ่มได้ในปริมาณมากๆเลย โยเฉพาะคนที่ไม่ได้กินคนที่ขาดสารอาหารพวกนี้พอกินไข่ระดับไขมันดีจะพุ่งขึ้นสูงมากในขณะเดียวกันถ้าเกิดคนนั้นอ้วนลงพุงไขมันจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากมันก็อาจจะเป็นไขดีกันคนละแบบ

ข้อที่สี่ เราใช้ไข่แดงในการประกอบอาหาร เพราะว่าไข่แดงมี โคลีน เป็นemulsifierตัวที่ผสมกัน ซึ่งตัวนั้นแปลว่าโคลีน ซึ่งโคลีนจริงๆแล้วเป็นสารสื่อประสาทเป็นสารสำคัญที่อยู่ตามเซลล์สมองเซลล์หัวใจ

เพราะฉะนั้นในโคลีนจะเป็นสารที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทต่างๆและก็มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอย่างเช่นอัลไซเมอร์แต่ว่าก็คงต้องรอผลงานวิจัยกันต่อไปเพียงแต่ว่าไข่ขาวไม่มีโคลีนและในระยะยาวๆกลับกันอาจจะลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้แต่ก็ต้องรอผลงานวิจัยต่อไปเพราะว่าเรื่องการทดสอบไข่เป็นเรื่องที่มีความยากและซับซ้อนอาจจะต้องใช้งานวิจัยอีกสักระยะหนึ่ง

 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.    ชุดตรวจ hiv